ซัง‘อกาตา โบโลนเญส/กู้ดวู้ด : ลัมโบร์กินี (Lamborghini) ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่วงการมอเตอร์สปอร์ตระดับนานาชาติ เปิดตัว “Temerario GT3” รถยนต์สำหรับแข่งขันโมเดลใหม่ล่าสุดซึ่งพัฒนาต่อยอดจากรุ่นขับบนท้องถนน โดยมีกำหนดลงสนามแข่งขันในหลายรายการทั่วโลก พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์รถแข่งของบริษัท และยังเป็นรถยนต์คันแรกที่ได้รับการออกแบบ พัฒนา และผลิตขึ้นที่โรงงานซัง‘อกาตา โบโลนเญส ในประเทศอิตาลีทั้งหมด โปรเจ็กต์ Temerario ถือกำเนิดขึ้นด้วยจุดประสงค์หลักเพื่อการพัฒนาต่อยอดสู่วงการมอเตอร์สปอร์ต ทำให้บริษัทฯ บูรณาการเชิงกลยุทธ์ระบบวิศวกรรมเพื่อมุ่งเน้นการแข่งขันตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการออกแบบ
ด้วยแนวทางอันสร้างสรรค์นวัตกรรมของลัมโบร์กินี ทำให้ GT3 เลือกใช้โครงสร้างอะลูมิเนียมแบบสเปซเฟรม (Spaceframe) ที่ได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษให้ตรงตามข้อกำหนดด้านโครงสร้างและแนวทางวิธีการซ่อมบำรุงสำหรับสนามแข่งโดยเฉพาะ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V8 Twin-turbo 4 ลิตร เช่นเดียวกับรุ่นที่ผลิตสำหรับผู้บริโภคทั่วไป โดยมีการออกแบบใหม่ โดยเฉพาะในส่วนของระบบอัดอากาศ พร้อมชิ้นส่วนเทอร์โบชาร์จที่ออกแบบใหม่ให้สอดคล้องตามข้อกำหนดของ GT3 และมอบสมรรถนะสูงสุดในสนามแข่ง
“Temerario GT3 คือรถต้นแบบสำหรับแข่งขันคันแรกจากโปรเจ็กต์ Temerario ซึ่งตอกย้ำความเชื่อมั่นอันแรงกล้าของลัมโบร์กินีที่มีต่อวงการมอเตอร์สปอร์ตในฐานะเครื่องมือสำคัญ เพื่อส่งเสริมรถยนต์รุ่นขับบนท้องถนนของเรา” มร.สเตฟาน วิงเคิลมันน์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี กล่าว “หลังจาก ความสำเร็จทั้งในโลกกีฬาและเชิงพาณิชย์ของโปรเจ็กต์ Huracán GT3 ซึ่งเราสามารถคว้าแชมป์มาได้ถึง 96 รายการและมียอดขายมากกว่า 200 คัน เราจึงสานต่อวิสัยทัศน์ในการพัฒนารถต้นแบบสำหรับการแข่งขันในช่วงเริ่มต้นโปรเจ็กต์ Temerario โดย Temerario GT3 จะมาสร้างมาตรฐานใหม่ที่เหนือแบรนด์คู่แข่ง เช่นเดียวกับที่ Temerario รุ่นขับบนท้องถนนที่ได้สร้างปรากฏการณ์มาก่อนหน้านี้”
“Temerario GT3 ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงผู้ใช้งานเป็นหลัก” มร.รูเว็น โมห์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิค ลัมโบร์กินี กล่าว “ทุกองค์ประกอบผ่านการพิจารณาอย่างรัดกุม ตั้งแต่ประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์ เส้นโค้งกำลัง รวมไปถึงวิธีการทำงานกับตัวรถของทีมงาน โดยรถยนต์คันนี้มีสมรรถนะที่แตกต่างไปเล็กน้อย เพื่อสร้างสมดุลให้กับรถยนต์ที่มีรูปแบบการใช้งานแตกต่างกันเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้า เรามั่นใจว่ารถยนต์รุ่นนี้สามารถแข่งขันได้ในแง่ของเวลาต่อรอบ พร้อมประสิทธิภาพการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมในสถานการณ์ที่หลากหลาย รวมทั้งในยามค่ำคืนและขณะฝนตก ทีมพัฒนาได้ทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างความมั่นใจว่ารถยนต์รุ่นนี้มีสมรรถนะที่ครอบคลุม เพื่อให้ทีมงานสามารถทำงานร่วมกับรถยนต์ในสนามแข่งขันได้ดียิ่งขึ้นได้”
ทุกองค์ประกอบของ Temerario GT3 ได้รับการปรับแต่งสำหรับสนามแข่งอย่างพิถีพิถันให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยทีมงานออกแบบได้พยายามรักษาแบบฉบับของรถรุ่นผลิตจริงไว้ โปรเจ็กต์นี้ยังได้นำประสบการณ์การทำงานมาจากแผนกมอเตอร์สปอร์ตของลัมโบร์กินีในรุ่น Huracán GT3 ซึ่งประสบความสำเร็จมาแล้วในการคว้ารางวัลมากถึง 96 รายการตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา
โครงแชสซีส์
โครงอะลูมิเนียมแบบสเปซเฟรม (Spaceframe) นำมาจากสายการผลิตของรุ่น Temerario และผ่านการดัดแปลงเพื่อการใช้งานในสนามแข่ง ทั้งการลดน้ำหนักและความซับซ้อนให้น้อยลง โดยเฉพาะการปรับรูปแบบโครงให้เรียบง่ายเพื่อให้สามารถถอดและประกอบซับเฟรมด้านหน้าและด้านหลังได้อย่างรวดเร็วเมื่อต้องทำงานในสนามแข่ง โดยซับเฟรมด้านหลังแบบถอดได้ ถูกพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษโดย Squadra Corse เพื่อรองรับส่วนประกอบของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังแบบใหม่ ในขณะที่ส่วนขายึดทั้งหมดที่ไม่จำเป็น ซึ่งติดตั้งในรุ่นขับบนท้องถนนเพื่อรองรับส่วนประกอบไฮบริด ก็ได้ถูกถอดออกไป เนื่องจากไม่จำเป็นในรุ่นแข่งขัน สำหรับบริเวณส่วนกลางของโครงอะลูมิเนียม ติดตั้งโครงสร้างนิรภัยโรลเคจ (Roll cage) ให้สอดคล้องตามมาตรฐานความปลอดภัยของ FIA GT3 ส่วนซับเฟรมด้านหน้าก็มีการปรับเปลี่ยนด้วยเช่นกัน เพราะมีการนำมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งเคยติดตั้งในรุ่นขับบนท้องถนนออกไป
ตัวถัง
ตัวถังแบบใหม่ซึ่งถูกติดตั้งเข้ากับโครงแชสซีส์ ใช้วัสดุคาร์บอนคอมโพสิตเป็นครั้งแรกเพื่อช่วยลดน้ำหนักฐานของรถให้ได้เบาที่สุด การพัฒนาตัวถังนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างทีมอากาศพลศาสตร์ของ Squadra Corse และ Lamborghini Centro Stile โดยมีเป้าหมายคือการรักษาสไตล์ที่โดดเด่นของรถยนต์รุ่นขับบนท้องถนน ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องตามข้อกำหนดด้านเครื่องยนต์และระบบระบายความร้อนเบรกแบบใหม่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านสมรรถนะตามที่ต้องการ ทั้งในด้านแรงกดและแรงต้าน จะสร้างความมั่นใจต่อสมดุลอากาศพลศาสตร์ที่ดีที่สุด
นอกจากนี้ ตัวถังรถยังได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมให้สามารถถอดและประกอบชิ้นส่วนได้อย่างรวดเร็วในระหว่างการแข่งขันเพื่อลดเวลาการซ่อมรถในช่องพิท โดยตัวถังด้านหน้าและด้านหลังเชื่อมต่อเป็นชิ้นเดียวกัน ในขณะที่ ดิฟฟิวเซอร์หลัง ฝาครอบเครื่อง และฝากระโปรงหน้า ถูกออกแบบให้ถอดออกได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ไปจนถึงไฟหน้าซึ่งใช้ระบบการถอดประกอบที่รวดเร็ว ส่วนพื้นรถแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ สองส่วนด้านหน้าเพลาหน้า หนึ่งส่วนบริเวณกลางรถ และดิฟฟิวเซอร์หลังอันทรงพลัง โดยส่วนกลางได้รับการออกแบบให้สามารถเปลี่ยนได้เมื่อจำเป็น แม้ในขณะที่รถอยู่บนแม่แรงลมในช่องพิท
ระบบเติมน้ำมันเชื้อเพลิงได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มอัตราการไหลเข้าสู่ถังให้เร็วยิ่งขึ้น ทั้งยังเปลี่ยนดีไซน์ถังให้สามารถใช้กับเซ็นเซอร์น้ำมันเชื้อเพลิงแบบใหม่เพื่อให้ผลการวัดที่แม่นยำยิ่งขึ้นสำหรับทีมงาน ระบบอากาศพลศาสตร์ถูกยกระดับเพื่อเพิ่มเสถียรภาพของรถในขณะเบรกและลดอาการเสียสมดุลขณะเข้าโค้ง และเพื่อจัดการความร้อนให้ดีขึ้นจึงมีการปรับปรุงระบบการไหลเวียนของอากาศไปยังหม้อน้ำด้วย รวมถึงการออกแบบหม้อน้ำด้านหน้าใหม่ โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพเป็นหลัก เพราะการนำชุดไฮบริดออกจากเครื่องยนต์ส่งผลให้ต้องใช้เครื่องเทอร์โบชาร์จเจอร์มากขึ้น ทำให้ต้องการการระบายอากาศมากขึ้นเพื่อควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสม
ระบบส่งกำลัง
ติดตั้งขุมพลังเครื่องยนต์ V8 Twin-turbo ขนาด 4 ลิตรที่ผลิตขึ้นในโรงงาน โดยถูกพัฒนาขึ้นโดยทีมวิศวกรของลัมโบร์กินี พร้อมด้วยเทอร์โบชาร์จเจอร์และชุดคอมเพรสเซอร์แบบใหม่ และเนื่องจากรถยนต์รุ่นนี้ต้องสอดคล้องตามข้อกำหนดสากล GT3 ซึ่งไม่อนุญาตให้ใช้ระบบไฮบริด ทำให้ลัมโบร์กินีเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ส่งกำลังขนาด 550 แรงม้า (ขึ้นอยู่กับความสมดุลของสมรรถนะ) แทนที่จะเป็น 800 แรงม้าเหมือนกับเครื่องยนต์ของรุ่นขับบนท้องถนน
ระบบส่งกำลังของรถยนต์ได้รับการพัฒนาโดยทีมวิศวกรฝ่ายวิจัยและพัฒนาของลัมโบร์กินี โดยใช้การออกแบบสถาปัตยกรรมที่เน้นการบูรณาการเข้ากับกีฬามอเตอร์สปอร์ตตั้งแต่แนวคิดตั้งต้น รวมถึงโซลูชันทางวิศวกรรมที่ทันสมัย เช่น เพลาข้อเหวี่ยงระนาบราบมุม 180°ระหว่างหมุดข้อเหวี่ยง โดยเป็นระบบเพลาข้อเหวี่ยงที่มักใช้ในเครื่องยนต์ของรถแข่ง จึงมั่นใจได้ถึงระบบพลศาสตร์ของไหลที่ดีที่สุด ทั้งยังให้ลำดับการจุดระเบิดที่สม่ำเสมอเมื่อเปรียบเทียบกับเพลาข้อเหวี่ยงแบบระนาบไขว้ รวมถึงเสียงคำรามอันน่าประทับใจ ในขณะที่ก้านสูบไทเทเนียมช่วยลดมวลการหมุนรอบแกนและยังมอบคุณสมบัติของวัสดุที่ดีเยี่ยม ทั้งในด้านความแข็งแรงและความเบา ช่วยลดน้ำหนักรถได้อีกทางหนึ่ง
เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบทวินเทอร์โบถูกจับคู่กับเกียร์ 6 สปีด โดยออกแบบกล่องกรองอากาศใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดใหม่ของเทอร์โบชาร์จเจอร์ขนาดเล็กที่ใช้ในรถแข่งซึ่งแตกต่างจากรุ่นขับบนท้องถนน เครื่องยนต์ได้รับการปรับจูนใหม่ทั้งหมดเพื่อมอบประสิทธิภาพสูงสุดตลอดช่วงรอบเครื่องยนต์ที่กว้างขึ้น โดยรถยนต์รุ่นนี้ถูกพัฒนาให้ใช้น้ำมันเครื่อง Pertamax Turbo สำหรับการแข่งขัน ส่วนระบบไอเสียเป็นโซลูชันเฉพาะทางที่คิดค้นขึ้นสำหรับรุ่น Temerario GT3 โดยเฉพาะ โดยมี Capristo เป็นซัพพลายเออร์
ล้อและระบบกันสะเทือน
รถยนต์รุ่นนี้มีฐานล้อที่ยาวขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้า และยังมีระยะวิ่งที่กว้างขึ้นทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพื่อช่วยเพิ่มเสถียรภาพเมื่อเข้าโค้ง นับเป็นครั้งแรกที่ระบบกันสะเทือนมีการใช้โช้คอัป 6 ทิศทางแบบใหม่จากทาง KW ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ของโปรเจ็กต์ SC63 LMDh ทำให้จุดยึดของระบบกันสะเทือนไม่จำเป็นต้องใช้แผ่นคาร์บอนกับแชสซีอีกต่อไป แต่ใช้แผ่นยึดแทน ระบบกันสะเทือนแบบใหม่นี้ยังสามารถถอดเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วในช่องพิท ช่วยย่นเวลาในการทำงานด้วยการเปลี่ยนอุปกรณ์พื้นฐานที่รวดเร็ว ยางติดตั้งกับล้อ 18 นิ้วที่จัดหาโดย Ronal AG โดย Temerario GT3 ยังมาพร้อมกับแร็คพวงมาลัยไฮดรอลิกที่ออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อให้ได้รูปแบบกันสะเทือนที่เหมาะสมที่สุดและเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดด้วยผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตยางชั้นนำทุกราย เพื่อให้มั่นใจว่า Temerario GT3 จะได้เปรียบในรายการแข่งขันต่าง ๆ ทั่วโลก
การออกแบบภายใน
การออกแบบประสบการณ์การขับขี่ยังได้รับการสนับสนุนจากนักขับของโรงงานลัมโบร์กินี ทั้งมาร์โก มาเปลลี (Marco Mapelli) และแอนเดรีย คัลดาเรลลี (Andrea Caldarelli) ผู้ซึ่งมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องการปรับปรุงหลักสรีรศาสตร์ รูปแบบการควบคุม และการใช้งานเมื่อขับขี่แบบสมรรถนะสูง การออกแบบภายในห้องคนขับ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้รับการปรับปรุงใหม่เพื่อยกระดับประสบการณ์การขับขี่ รวมถึงการผสานรวมฮาร์ดแวร์ที่ทันสมัยให้สามารถพัฒนาซอฟต์แวร์เฉพาะทางที่ลัมโบร์กินีปรับแต่งมาโดยตรงได้ เพื่อให้มั่นใจถึงการควบคุมรถที่ดีที่สุด
สวิตช์เกียร์ในห้องคนขับยังได้รับการออกแบบใหม่ พร้อมกราฟิกแบบใหม่ และระบบบันทึกข้อมูลที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น พวงมาลัยได้รับการออกแบบจากทางลัมโบร์กินี โดยอิงตามข้อกำหนดเฉพาะทาง บวกกับการรวบรวมความคิดเห็นจากบรรดานักขับจากโรงงานและลูกค้าของแบรนด์
Lamborghini Temerario GT3 – Born to race in Sant’Agata Bolognese
– Introducing the first racing car derived from the Temerario road model
– First competition model entirely designed and developed by Lamborghini at Sant’Agata Bolognese
– Lightweight aluminum spaceframe, carbon bodywork and V8 twin-turbo engine are hallmarks of an all-new concept
Sant’Agata Bolognese/Goodwood, Lamborghini has reaffirmed its commitment to international motorsport and today launches the new Temerario GT3, the very first racing car derived from the Temerario road model. The Temerario GT3, which will compete in race series around the world, sets a new standard in the company’s competition cars and is the first to be entirely designed, developed, and built at the Sant’Agata Bolognese factory in Italy. Conceived from the outset with a motorsport derivative in mind, the Temerario project has allowed for strategic integration of racing-oriented engineering from the earliest design stages.
As a result of this innovative approach for Lamborghini, the GT3 features an adapted version of the aluminum spaceframe chassis, specifically modified to meet the structural and serviceability requirements of racing. It is powered by the same 4-liter V8 twin-turbo engine as the Temerario production model, which has been reengineered specifically in the area of forced induction, with redesigned turbocharging components to comply with GT3 regulations and deliver peak performance under racing conditions.
“The Temerario GT3 is the first racing derivative of the Temerario project, further emphasizing Lamborghini’s strong belief in motorsport as a key tool for promoting our brand – statedStephan Winkelmann, Lamborghini Chairman and CEO. – Following the sporting and commercial successes of the Huracán GT3 project, with which we won 96 championships and sold over 200 units, we have always envisioned racing derivatives from the very inception of the Temerario project. The Temerario GT3 will set a benchmark for its competitors, just as the road-going Temerario has.”
“The Temerario GT3 has been designed with the end user in mind,” said Lamborghini Chief Technical Officer, Rouven Mohr. “Everything has been considered, from the efficiency of the aerodynamics to the power curve to the way in which the team is able to operate the car. The car operates in a slightly different area of the performance windows, that are used to balance the cars of different configuration, compared to its predecessor. We are confident that it will be competitive in terms of lap time, while also nice to drive in a wide range of conditions, including at night and in the rain. The development team has worked hard to ensure the car has a wide operating window, and that the teams are better able to work on it.”
All aspects of the Temerario GT3 have been carefully optimized for competition while the design team has also retained the essence of the production car. The project draws on the experience of Lamborghini’s Motorsport department with the Huracán GT3, which has achieved 96 titles worldwide in GT3 competitions over the past ten years.
CHASSIS
The aluminum spaceframe has been taken from the Temerario production line and converted for racing use through extensive lightweighting and simplification. In particular, the frame has been simplified to allow for quick removal and reattachment of the front and rear subframes during trackside operations. The removable rear subframe has been specially developed by Squadra Corse to accommodate the components of the engine and the new transmission, while all unnecessary brackets, which in the production car support the hybrid components, have been removed as they are not present in this racing version. In the central part of the aluminum frame, a roll cage has been integrated, complying with FIA GT3 safety standards. The front subframe has also been modified, with the electric motors that characterize the production car removed.
BODYWORK
Mounted to the chassis is new bodywork which is made from carbon composite material for the first time, to reduce the base weight of the car as far as possible. The bodywork is the result of a collaborative effort between the aerodynamics team at Squadra Corse and the Lamborghini Centro Stile. The aim was to maintain the production car’s unmistakable style while adapting it to the requirements of the new engine and brake cooling system, achieving the desired performance targets for downforce and drag to ensure optimal aerodynamic balance.
Additionally, the bodywork has been engineered for quick disassembly and reassembly during race weekends, to reduce time on pit road in case of repair. The front and rear ends of the bodywork are each from a single piece. The rear diffuser, engine cover, and bonnet have also been designed for rapid removal. Even the front lights feature a quick connector system for quick disassembly. The floor comes in four separate parts, including two sections ahead of the front axle, one through the center of the car and a powerful rear diffuser. The center section has been designed so that it can, if necessary, be changed while the car is on its air jacks on pit road.
The refuelling system has been updated to increase the flow rate into the tank, while the tank design has been changed, enabling a new fuel sensor to be used to provide more accurate readings to the team. The aerodynamics have been optimized to improve the stability of the car under braking and reduce balance shift through cornering. With temperature management in mind, airflow to the radiators has also been improved, as has the front radiator design, with efficiency of paramount importance. The removal of the hybrid unit from the engine has in turn increased demand on the turbochargers, which require greater airflow to maintain control of their temperature.
POWERTRAIN
Power comes from the production-derived 4-liter, V8 twin-turbo engine that has been developed by Lamborghini engineers with a new turbocharger and compressor unit. This is due to the car meeting international GT3 regulations which do not permit hybrid systems. In doing so, Lamborghini has changed the way in which the engine delivers the 550 hp (subject to balance of performance) instead of 800 hp as the road engine.
The powertrain of the road vehicle was developed by Lamborghini’s R&D engineers with a design architecture explicitly oriented towards potential motorsport integration from the initial concept phase, including state-of-the-art engineering solutions such as the flat-plane crankshaft with a 180-degree angle between the crankpins. This crankshaft, typically used in racing engines, ensures optimal fluid dynamic behavior due to even firing orders compared to the cross-plane crankshaft, along with a uniquely engaging sound. Titanium conrods reduce the rotating masses and offer excellent material properties in terms of strength and lightness, reducing weight.
The twin-turbo combustion engine is paired with a six-speed transverse gearbox. The airbox has been redesigned to meet the new requirements of the smaller turbochargers used in the race version, differing from those found in the road-going model. The engine has been completely recalibrated to deliver maximum performance across a broader rev range. Development of the vehicle was carried out using Pertamina Fastron Lubricants racing motor oil. The exhaust system is a custom solution developed specifically for the Temerario GT3 and is supplied by Capristo.
WHEELS AND SUSPENSION
The new model features a longer wheelbase compared to its predecessor, and a wider track front and rear, with the aim of improving stability in cornering. For the first time, the suspension features new 6-way dampers from KW, who are also the supplier for the SC63 LMDh project. The mounting points of the suspension no longer require carbon inserts to the chassis, but instead use mounting plates. The new suspension can also be changed quickly in the pits, saving time during the practice sessions by enabling fast changes to the basic setup. Tires are mounted on 18-inch wheels supplied by Ronal AG. The Temerario GT3 also features a custom hydraulic steering rack designed to achieve optimal suspension geometry and maximize performance with products from all the leading tire manufacturers to ensure that it remains competitive across the full range of championships around the world.
INTERIOR
The driver experience has been engineered with the support of Lamborghini factory drivers Marco Mapelli and Andrea Caldarelli, whose insights have been fundamental in refining ergonomics, control layout, and usability during high-performance driving. In the cockpit, the electronics have been updated to improve the driver experience. The integration of state-of-the-art hardware has enabled the development of dedicated software, customized directly by Lamborghini to ensure optimal vehicle control. The switchgear in the cockpit is new, featuring updated graphics, and a more complete data logger. The steering wheel has been designed by Lamborghini based on customized specifications, incorporating feedback from its factory and customer drivers.
DEBUT
The Temerario GT3 has been developed to be competitive with all relevant makes of tires and GT3 regulations and aims to serve the needs of Lamborghini’s customer teams, who require an increasingly refined and raceable product. The development phase will conclude during the 2026 season, when the car will debut in a series of selected events, with the maiden outing planned for the Sebring 12 Hours in March. Lamborghini also remains committed to providing technical support to all customer teams still racing with the Huracán in the upcoming season during this transition phase.
