สิงห์ เอสเตท รายงานรายได้รวมจากการขายและการบริการสำหรับ 9 เดือนแรก จำนวน 10,072 ล้านบาท โดยรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ เติบโตเด่นถึง 34% ด้วยแรงส่งสำคัญจากการเปิดตัว 3 โครงการ ภายใต้ 3 แบรนด์ซึ่งรวมถึงโครงการใหญ่ S’RIN ราชพฤกษ์-สาย 1 ที่มีมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาทและพร้อมเริ่มรับรู้รายได้ทันทีในปีนี้ ในขณะที่รายได้จากธุรกิจให้บริการปรับตัวเพิ่มขึ้น 16% และแรงส่งสำคัญในไตรมาส 4 ที่ห้องพักโรงแรมสำคัญในไทยและฟิจิซึ่งอยู่ระหว่างการปรับปรุงเตรียมเปิดต้อนรับผู้เข้าพักในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว หนุนอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวันโตกระโดด
บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ประกาศรายได้รวมจำนวนเติบโตขึ้น 19% โดยรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ จำนวน 1,902 ล้านบาท เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 34% ซึ่งประกอบด้วย (1) ยอดโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยสะสม 9 เดือนจำนวน 1,692 ล้านบาท ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการเปิดตัวโครงการพร้อมโอน “ลาซัวว์ เดอ เอส” โครงการแฟล็กชิพ ประเภท Cluster Home ระดับอัลตร้าลักชัวรี การรับรู้รายได้เต็มจำนวนของโครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 ที่สิงห์ เอสเตทเข้าถือหุ้น 100% เพื่อรองรับโอกาสการฟื้นตัวของดีมานด์กลุ่มคอนโดมิเนียม และการโอนกรรมกรรมสิทธ์ของโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส (2) รายได้จากการขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรม จำนวน 36 ล้านบาท รวมถึง (3) การรับรู้ค่าเช่าของโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ ตามสัญญาเช่าพื้นที่ระยะยาวจำนวน 175 ล้านบาท
สำหรับรายได้จากการให้บริการของบริษัทฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 16% มีสาเหตุสำคัญมาจากรายได้ของธุรกิจโรงแรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 18% สู่จำนวน 7,222 ล้านบาท ซึ่งได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวต่อเนื่องของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก โดยอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรมแรมบริษัทฯ ที่คำนวณเฉพาะห้องพักที่เปิดให้บริการของบริษัทฯ ที่ 71% ปรับเพิ่มขึ้นถึง 12% จากปีก่อนหน้า รวมถึง ADR ที่เติบโตจากศักยภาพในการปรับราคาของ SHR ที่มีจุดแข็งด้านทำเลที่ตั้งของโรงแรมที่อยู่ในจุดหมายปลายทางอันดับต้น ๆ ของการท่องเที่ยว มาตรฐานการบริการที่เป็นเลิศ และกลยุทธ์ทางการตลาดเชิงรุก สำหรับรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีแรกจำนวน 259 ล้านบาททรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี จากการทยอยรับรู้รายได้ตามการส่งมอบพื้นที่เช่าของอาคารเอส โอเอซิส (S OASIS)
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ เปิดเผยว่า “เราผลักดันรายได้ของสิงห์ เอสเตท ในช่วง 9 เดือนแรกให้เติบโตได้ตามแผนการลงทุน ควบคู่กับการคุมต้นทุนต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับช่วงการขยายธุรกิจและเปิดตลาดใหม่ ส่งผลให้เรามีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำจากการดำเนินงานปกติ (Adjusted EBITDA) ที่ 2,276 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลการดำเนินงานดังกล่าวเป็นตัวพิสูจน์การปรับตัวทางธุรกิจให้สามารถช่วงชิงโอกาสได้ทันกับการฟื้นตัวของธุรกิจที่พักอาศัยและโรงแรม และสะท้อนผลสำเร็จจากการพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์การส่งเสริมคุณภาพชีวิตของลูกค้า ที่สิงห์ เอสเตทได้ทำมาตลอด และเราเชื่อมั่นว่าในไตรมาสที่ 4 เราจะสามารถขับเคลื่อนผลประกอบการที่สูงที่สุดในปีได้ เนื่องจากการรับรู้ยอดโอนของโครงการใหม่ สริน ราชพฤกษ์สาย 1 ที่มีมูลค่า 3,800 ล้านบาทและเปิดตัวในต้นไตรมาส 4 ที่ผ่านมา ได้รับความสนใจอย่างดีและมียอดจองเป็นไปตามเป้าหมายกว่า 10% รวมถึงพอร์ตโรงแรมของ SHR ซึ่งเป็นผลจากการที่ห้องพักรูปแบบใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว พร้อมเปิดให้บริการลูกค้าในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของปี พร้อมทั้งปริมาณความต้องการเดินทางของลูกค้า Long-haul market ที่กลับมาคึกคักอีกครั้งตามการเปิดเส้นทางบิน
ในปีนี้ สิงห์ เอสเตท ลงทุนขยายโครงการบ้านแนวราบครบทุกเซกเมนต์ลักชัวรีตามแผนงาน และยังคงไว้ซึ่งการถ่ายทอด DNA ที่ยึดถือในการพัฒนาโครงการให้ได้คุณภาพระดับ “Best in Class” แม้ว่าเซกเมนต์ที่เราขยายเข้ามาใหม่นี้ ถือว่าสิงห์ เอสเตทได้เข้ามาแข่งขันในตลาดนี้เป็นครั้งแรก แต่ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า เนื่องจากความเชื่อมั่นต่อความเชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี และความเชื่อถือแบรนด์ของสิงห์ เอสเตท ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพเหนือระดับเพื่อส่งมอบประสบการณ์อันทรงคุณค่าให้ลูกค้า”
นางฐิติมากล่าวเสริมว่า “นับเป็นก้าวที่สำคัญของสิงห์ เอสเตท ในการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงตลาดลูกค้าใหม่ โดยเราจะมี แบรนด์ต่างระดับที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ตรงจุดและหลากหลาย เราจะเน้นเจาะตลาดกลุ่ม SUPER LUXURY ในกลุ่มราคา 50-100 ล้านบาทด้วยแบรนด์ SIRANINN เสริมทัพด้วยการเข้าสู่ตลาดระดับ PREMIUM LUXURY ในกลุ่มราคา 30-50 ล้านบาทด้วยแบรนด์ S’RIN พร้อมช่วงชิงโอกาสในขอบบนของกลุ่มตลาด LUXURY ในกลุ่มราคา 10-30 ล้านบาทที่ครองส่วนแบ่งการตลาดใหญ่ที่สุดของบ้านแนวราบ ด้วยแบรนด์ SHAWN ที่เราพึ่งเปิดตัวไปนี้ นอกจากนั้นแล้ว เรายังมีอีก 1 โปรดักส์ที่พัฒนาและออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความยืดหยุ่นอย่าง SMYTH ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์สำคัญของกลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวในปีนี้ คือ การขยายพอร์ต ULTRA LUXURY ที่ระดับราคาสูงกว่า 100 ล้านบาท ในรูปแบบบ้านแบบ Cluster home ซึ่งจะเป็นบ้านที่ดีไซน์มาเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของลูกบ้านแต่ละหลัง โดยบริษัทฯ เชื่อว่าการพัฒนาโครงการรูปแบบนี้ จะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดในการเข้าถึงที่ดินขนาดใหญ่บนทำเลศักยภาพ โดยเรามองเห็นโอกาสในการเติบโตและการขยายธุรกิจในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของรูปแบบของบ้านสั่งสร้าง และยังคงไว้ซึ่งคุณภาพและแนวการพัฒนาด้วยอัตลักษณ์ในแบบฉบับของสิงห์ เอสเตท”
แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2567 ในธุรกิจที่พักอาศัยนั้น นอกเหนือจาก backlog ราว 4,000 ล้านบาท เสริมทัพด้วย Product บ้านเดี่ยวพร้อมขายที่เราพึ่งเปิดตัวในช่วงสิ้นปีแล้ว สิงห์ เอสเตทเตรียมพร้อมส่งมอบห้องชุดในกับลูกค้าโครงการ ดิ เอ็กโทร พญาไทรางน้ำ ในช่วงต้นปี 2567 รวมถึงคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ที่ได้เข้าร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจในการพัฒนาคอนโดในเซกเมนต์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดใหญ่และเติบโตดีที่สุด ในระดับราคา 100,000 – 200,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งอยู่นอกเหนือจาก Pillar แบรนด์ที่พัฒนาโดยสิงห์ เอสเตท เอง โดยโครงการร่วมทุนนี้ จะตอบโจทย์ให้เราเข้าช่วงชิงโอกาสจากการฟื้นตัวของตลาดคอนโดในกลุ่มรายได้ระดับปานกลางขึ้นไป โดยบริษัทฯ วางแผนจะเปิดขายในปี 2567 เป็นต้นไป
สำหรับธุรกิจโรงแรมมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นชัดเจนในไตรมาสสุดท้ายของปี ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2567 จากการเติบโตต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว และสัญญาณการฟื้นตัวของการเดินทางระหว่างภูมิภาคซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มเส้นทางบิน โดยในปี 2566 นี้ ถือเป็นปีแรกที่การท่องเที่ยวทั่วโลกเปิดเต็มรูปแบบ ซึ่งเราเห็นแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของลูกค้าตลาดใหม่ ๆ ในทุกภูมิภาคที่เราดำเนินงาน ซึ่งเราไม่รีรอที่จะช่วงชิงโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าศักยภาพเหล่านั้น และเตรียมความพร้อมในการนำเสนอรูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์กระแสนิยมในการท่องเที่ยว พร้อมด้วยมาตรฐานในการบริการอันเลิศ
ทั้งนี้ การปรับปรุงโรงแรมตามแผนการยกระดับประสิทธิภาพพอร์ตโฟลิโอ หรือ Major Renovation ของโรงแรมที่เป็นสินทรัพย์ศักยภาพของ SHR ได้แก่ โรงแรม Outrigger Fiji Beach Resort, โรงแรม ทราย ลากูน่า ภูเก็ต, โรงแรม ทราย พีพี ไอซ์แลนด์ วินเลจ และโรงแรมบางส่วนในสหราชอาณาจักรยังคงเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ โดยห้องพักรูปแบบใหม่จะพร้อมส่งมอบห้องคืนและเปิดให้บริการกับนักท่องเที่ยวอีกครั้งช่วง high season ของแต่ละประเทศ เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันและสร้างผลกำไรที่มีประสิทธิภาพ โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายว่าห้องพักที่ได้รับการปรับปรุงแล้วจะสามารถยกระดับ ADR ได้เฉลี่ยช่วง 15% – 25%
“เรามีความมั่นใจที่จะทำตามเป้าหมายการสร้างรายได้ที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ และวางรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่อมุ่งเป้าสู่การเติบโตระยะยาว พร้อมด้วยปรัชญาการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยพันธสัญญาต่อลูกค้า คู่ค้า ตลอดจนสังคม และการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการรักษาวินัยทางการเงินที่ดี และการเตรียมความพร้อมในการเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมที่สุดกับสภาวะตลาดในแต่ละช่วง เพื่อเพิ่มความพร้อมในการสนับสนุนการขยายการเติบโตให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง และคงระดับสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนให้เป็นไปตามนโยบายในการบริหารจัดการของบริษัท” นางฐิติมา กล่าวเสริม