“Spirit of Ecstasy ของเราเป็นสัญลักษณ์ทางยานยนต์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก เช่นเดียวกับบริษัทและ ยนตรกรรมของเรา เธอเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาตลอดเวลาแต่ยังคงยึดมั่นในต้นกำเนิดและแรงบันดาลใจของเธอ ในฐานะที่เราก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ด้วยยนตรกรรม Spectre เราจึงถือโอกาสในการทบทวนไอคอนอันล้ำค่าของเราและเรื่องราวของเธอ ซึ่งยังคงความน่าหลงใหล น่าตื่นตะลึงและน่าสนใจอย่างไม่รู้จบหลังจากเวลาล่วงเลยผ่านไปกว่า 100 ปี นับว่าเป็นทั้งเรื่องราวที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของแบรนด์และเรื่องราวดราม่าของชีวิตมนุษย์ที่เข้มข้นซึ่งถึงแม้จะเป็นผลพวงมาจากอดีต แต่ก็ยังคงดังกึกก้องให้เราและลูกค้าของเราได้ยินจวบจนปัจจุบัน”
Torsten Müller-Ötvös, Chief Executive Officer, Rolls-Royce Motor Cars
เป็นเวลากว่าศตวรรษที่ยนตรกรรมโรลส์-รอยซ์ถูกประดับด้วย Spirit of Ecstasy อย่างสง่างาม เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา เรื่องราวอันน่าทึ่งของเธอทำให้เธอมีชื่อเสียงในวงกว้างและเป็นที่รู้จักระดับโลก บางส่วนในเรื่องราวของเธอยังคงเปิดกว้างรับการคาดเดา ความสับสนและการถกเถียงอย่างมาก
ขณะที่แบรนด์เริ่มดำเนินการเกี่ยวกับยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าสำหรับอนาคต เราทบทวนเรื่องเล่าขานนี้เพื่อแยกแยะข้อเท็จจริงและเอกสารหลักฐานที่เป็นที่ยอมรับออกจากการคาดเดาและคำเล่าลื มันเป็นเรื่องราวของคนสี่คนที่มาจากพื้นเพที่แตกต่างกัน และแต่ละคนมีความเกี่ยวพันกัน ซึ่งบางครั้งเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเป็นที่มาของสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ปรารถนามากที่สุดในโลก
ตัวละครหลักในเรื่องราวเรื่องนี้ได้แก่
* John Walter Edward Douglas-Scott-Montagu บารอนมองตากูแห่งบิวลีที่ 2 (ปีค.ศ. 1866-1929) หนึ่งในผู้บุกเบิกด้านยานยนต์และผู้จัดพิมพ์นิตยสาร The Car Illustrated บ้านและที่ดินของบรรพบุรุษของเขาที่นิวฟอเรสต์ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ยานยนต์แห่งชาติ (National Motor Museum)
* Claude Goodman Johnson (ปีค.ศ. 1864-1926) เคยดำรงตำแหน่งเลขานุการสมาคม Automobile Club of Great Britain & Ireland (ที่ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น Royal Automobile Club) ก่อนร่วมทำธุรกิจกับ The Hon. Charles Stewart Rolls ในปีค.ศ. 1903 เขาคือนักประชาสัมพันธ์ที่มีพรสวรรค์ ความเฉียบคมทางธุรกิจของเขาทำให้เขาบังเอิญกลายเป็น ‘ยัติภังค์ในชื่อโรลส์-รอยซ์’
* Eleanor Velasco Thornton (ปีค.ศ. 1880-1915) เธอเป็นบุคคลสำคัญในเรื่องราวของ Spirit of Ecstasy เดิมทีเธอเป็นนักแสดงและนักเต้นและเธอยังเป็นผู้ช่วยของ Claude Johnson จนถึงปีค.ศ. 1902 เมื่อเธอได้ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการสำนักงานให้กับ Lord Montagu อีกทั้ง เธอยังเป็นแบบและแรงบันดาลใจให้กับ Charles Sykes
* Charles Robinson Sykes (ปีค.ศ. 1875-1950) เขาเป็นนักวาดภาพประกอบและประติมากรที่ทำงานให้กับทั้ง Lord Montagu และ Claude Johnson ภายใต้นามแฝง ‘Rilette’ เขาออกแบบโฆษณาและปกนิตยสารซึ่งปัจจุบันถือว่าเป็นผลงานศิลปะในตัวของมันเอง
เรื่องราวอันซับซ้อนที่เกิดขึ้น…
เรื่องราวของ Spirit of Ecstasy เป็นเรื่องราวชีวิตมนุษย์ที่เข้มข้นมาก ซึ่งข้อเท็จจริงและเรื่องที่แต่งขึ้นมักมีเพียงเส้นบาง ๆ กั้นกลาง ความจริงที่ไม่ต้องสงสัยก็คือในปีค.ศ. 1902 John Montagu นักข่าวอิสระและผู้คลั่งไคล้ในยานยนต์ ได้รับฉายาว่า ‘เป็นผู้มั่งคั่งแต่ขาดแคลนเงินสดตลอดกาล’ ได้ก่อตั้งนิตยสารยานยนต์แห่งแรกของสหราชอาณาจักร The Car Illustrated และได้จ้าง Charles Sykes ให้เป็นหัวหน้านักวาดภาพประกอบของเขา และเป็นที่แน่นอนว่าในเวลาเดียวกัน Claude Johnson เพื่อนของ Montagu ได้จ้างหญิงสาวชื่อ Eleanor Thornton ให้ทำงานเป็นผู้ช่วยของเขาที่ The Automobile Club ที่ซึ่งเขาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ
เมื่อ Montagu พบกับ Eleanor ผู้ซึ่งทั้งฉลาดหลักแหลมและมีความงามเป็นที่เลื่องลือ เขาตกหลุมรักและเสนองานในตำแหน่งผู้จัดการสำนักงานนิตยสารของเขาให้เธอทันที เธอตอบรับเข้าทำงาน ต่อมาไม่นานผู้จัดพิมพ์ผู้สูงศักดิ์และเพื่อนร่วมงานใหม่ของเขาซึ่งอายุน้อยกว่าเขา 14 ปีและมาจากครอบครัวที่สมถะอาศัยอยู่ในย่านลอนดอนใต้เริ่มต้นความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวอันยาวนานถึง 13 ปีที่เปี่ยมด้วยความรักและจริงใจอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และถูกเก็บงำเป็นความลับ
ช่วงปีค.ศ. 1903 Eleanor เกิดตั้งครรภ์ เธอและ Montagu ตัดสินใจว่าน่าจะเป็นการดีที่สุดสำหรับทารกที่จะได้รับการอุปการะตั้งแต่แรกเกิด เพียงไม่กี่วินาทีที่ Eleanor อุ้มทารก Joan ไว้ในอ้อมกอดก่อนส่งเธอให้กับ Montagu พร้อมสั่งเขาว่า “อย่าได้เอ่ยชื่อของเด็กน้อยอีกเด็ดขาด” Eleanor ไม่เคยพบเธออีกเลยแต่พ่อของเธอได้พบกับลูกสาว เขาจัดการ (และจ่ายค่าเลี้ยงดู) เพื่อให้ Joan ได้รับการเลี้ยงดูในช่วงแรกโดยอดีตจ่าสิบเอกจากกองทหารและภรรยา ก่อนที่จะถูกรับอุปการะโดยนายแพทย์และภรรยา หลายปีต่อมา Montagu ได้ไปเยี่ยมลูกสาวของเขา รู้จักเขาเพียงในฐานะลุงจอห์น และทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อช่วยเหลือเธอภายในขอบเขตของความเหมาะสมและเป็นความลับ
อะไรคือแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สัญลักษณ์นี้
ณ จุดนี้เองที่เรื่องราวต่าง ๆ นานาเริ่มมาบรรจบกัน แน่นอนว่า Sykes และ Eleanor จะต้องพบกันผ่านงานของพวกเขาที่นิตยสาร The Car Illustrated แต่น่าแปลกที่พวกเขารู้จักกันอยู่ก่อนแล้ว โดยเมื่อสองสามปีก่อนหน้า Eleanor ได้เช่าห้องที่ The Pheasantry ซึ่งเป็นแหล่งรวมศิลปินบนถนนคิงส์ย่านเชลซี ซึ่งที่นี่เธอใช้ชีวิตสองแบบอย่างลับ ๆ โดยกลางวันเธอคือผู้ช่วยมืออาชีพที่เคร่งขรึมและเป็นที่น่านับถือของ Johnson ที่ The Automobile Club แต่เป็นนักเต้นระบำที่เย้ายวนและนางแบบให้ศิลปินวาดภาพในยามค่ำคืน โดยศิลปินคนหนึ่งที่เธอเป็นแบบแสดงเป็นประจำคือ Charles Sykes
แม้ว่า Sykes จะถูกจ้างโดย Montagu ให้เป็นนักวาดภาพประกอบ แต่เขายังเป็นประติมากรที่มีพรสวรรค์อีกด้วย โดยได้ศึกษากับศาสตราจารย์ Edouard Lanteri ผู้ทรงคุณวุฒิที่สถาบัน Royal College of Art
ในปีค.ศ. 1903 เขาแกะสลักถ้วยรางวัลที่มี Eleanor เป็นแบบสำหรับ Montagu เพื่อมอบในการแข่งขัน Gordon Bennett ผลงานอีกชิ้นของ Sykes ที่ชื่อ Bacchante ได้ถูกจัดแสดงที่ Royal Academy และ Paris Salon โดยใบหน้าและรูปร่างของเธอก็ละม้ายหญิงสาวผู้เป็นแรงบันดาลใจให้กับเขามาอย่างยาวนาน
ช่วงเวลานี้ (ไม่ทราบวันที่แน่นอน) Sykes ได้สร้างสรรค์มาสคอตสำหรับยนตรกรรม Rolls-Royce Silver Ghost ของ Montagu รูปปั้นที่ถูกเรียกว่า ‘The Whisper’ เป็นรูปปั้นอลูมิเนียมขนาดเล็กของหญิงสาวสวมเสื้อคลุมที่กำลังพัดปลิวพร้อมกับนิ้วชี้บนริมฝีปากของเธอ เป็นที่ยืนยันว่า Eleanor คือนางแบบของรูปปั้นนี้ ไม่ว่ามาสคอตนี้จะถูกรังสรรค์ขึ้นเพื่อแทนการขอบคุณจาก Sykes ต่อเพื่อนและเจ้านายของเขา หรือทำขึ้นจากการรบเร้าของ Eleanor เพื่อเป็นของขวัญให้กับคนรักของเธอก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่ ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม Montagu ได้ประดับมันบนโรลส์-รอยซ์ทุกคันที่เขาเป็นเจ้าของจนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปีค.ศ. 1929 บางทีอาจเป็นการแสดงออกถึงความรักที่เขามีต่อ Eleanor อย่างเงียบ ๆ ซึ่งเขาเก็บงำเป็นความลับมาอย่างยาวนาน
แต่เดิมเป็นที่รู้กันว่า ‘The Whisper’ เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ Spirit of Ecstasy ดังนั้น สัญลักษณ์นี้จึงเป็นรูปปั้นจำลองของ Eleanor Thornton ซึ่งความคิดนี้น่าสนใจและเป็นเหตุเป็นผลและมีความคล้ายคลึงกันมากพอที่จะสนับสนุนความคิดนี้ แต่กระนั้นก็ตามเรื่องราวนี้ไม่ได้ชัดเจนเหมือนกับที่คิด
ความเชื่อมโยงกับ ROLLS-ROYCE
ปีค.ศ. 1910 Claude Johnson นายจ้างเก่าของ Eleanor กลับมาเล่าเรื่องนี้อีกครั้ง เขาไม่ได้อยู่ที่ The Automobile Club อีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เขาเป็นกรรมการผู้จัดการของ Rolls-Royce บริษัทที่ก่อตั้งโดยอดีตหุ้นส่วนธุรกิจของเขา The Hon. Charles Stewart Rolls และ Henry Royce วิศวกรผู้ยอดเยี่ยม
Royce เริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งที่เขารู้สึกว่าเป็นมาสคอตที่ไร้รสนิยมที่ถูกนำมาใช้ประดับบริเวณฝาหม้อน้ำของรถยนต์โรลส์-รอยซ์ รวมถึง แมวดำ ปีศาจ และตำรวจที่ยิ้มร่าเริง อย่างไรก็ตาม Claude Johnson เล็งเห็นโอกาสและแย้งว่าพวกเขาควรผลิตมาสคอตของตนเองที่จะช่วยเพิ่มความสง่างามให้แก่ยนตรกรรมโรลส์-รอยซ์แทนที่จะทำให้ดูแย่ลง ในที่สุด Royce ก็ตกลงอย่างไม่เต็มใจ และผ่าน Montagu เพื่อนของเขา Johnson มอบหมายให้ Charles Sykes รังสรรค์มันขึ้นมา
Johnson มีภาพในใจของของประดับที่เขาต้องการอยู่แล้ว ในการเดินทางไปปารีส เขาประทับใจใน ‘Nike of Samothrace’ เทพธิดาแห่งชัยชนะ ซึ่งเป็นงานประติมากรรมหินอ่อนยุคกรีกโบราณที่ถูกแกะสลักขึ้นเมื่อ 190 ปีก่อนคริสตกาล และถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ตั้งแต่ปีค.ศ. 1883 เธอคือเทพธิดาที่มีปีกลงมาจากสวรรค์สวมเสื้อคลุมรัดเอวและผ้าคลุมที่พลิ้วไหวยืนโดดเด่นด้วยความสูงเก้าฟุต (หรือ 2.75 เมตร) เป็นเรื่องน่าเศร้าเมื่อการเวลาและโชคชะตาผันแปรไปทำให้เธอสูญเสียแขนทั้งสองข้างและศีรษะของเธอ
“ผมต้องการสิ่งที่งดงามเหมือน Nike” Johnson กล่าวกับ Sykes “คุณไปดูเถอะ” Sykes ทำตามคำขอและตัดสินใจอย่างรวดเร็วว่า Nike มีความเป็นนักรบและหยิ่งยโสเกินกว่าที่จะเหมาะสมเป็นมาสคอตของยนตรกรรม Rolls-Royce เขามักจะเดินทางไปใน Silver Ghost ของ Montagu เขาเชื่อว่ารูปร่างที่ละเอียดอ่อนและ
บอบบางกว่าน่าจะสะท้อนถึงความสง่างาม ความเงียบสงบ และความทรงพลังที่นุ่มนวลของแบรนด์ได้ดีกว่า และเป็นอีกครั้งที่แรงบันดาลใจของเขาที่เกือบจะแน่นอนว่าเป็น Eleanor Thornton
แม้กระทั่งตอนนี้ ความสงสัยยังคงอยู่ แม้จะมีความเป็นไปได้สูงที่ Eleanor คือต้นแบบรูปร่างโดยรวมของ Spirit of Ecstasy แต่ใบหน้าอาจเป็นใบหน้าของคนอื่น เนื่องจากมีความคล้ายคลึงอย่างมากกับผู้หญิงที่ Sykes มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและเคารพรัก นั่นคือ แม่ของเขา Hannah Robinson Sykes บางคนคาดเดาว่า Sykes ใช้จินตนาการของเขาในการสร้างสรรค์รูปร่างผู้หญิงที่เป็นที่น่าพอใจแก่ตัวเขาในฐานะศิลปิน และวิสัยทัศน์ของความเป็นผู้หญิงในอุดมคติของเขา
ชื่อมีความหมายเช่นไร
มาสคอตตัวใหม่ของ Sykes แรกเริ่มถูกเรียกว่า ‘The Spirit of Speed’ ชื่อที่จะทำให้เธอเป็นอมตะปรากฏในจดหมายจาก Rolls-Royce ถึง John Montagu โดยมีเนื้อความว่าบริษัทได้บรรยายถึงการค้นหามาสคอตที่จะสื่อถึง “จิตวิญญาณของโรลส์-รอยซ์ กล่าวคือ ความเร็วแต่เงียบ ไม่มีการสั่นสะเทือน การควบคุมพลังมหาศาลอย่างเร้นลับ สิ่งที่เคลื่อนไหวราวกับมีชีวิตที่มีความสง่างามเฉกเช่น Sailing Yacht”
จดหมายระบุเพิ่มเติมว่าเมื่อ Sykes ออกแบบ “เทพธิดาน้อยผู้สง่างาม” ของเขา เขามีชื่อในใจว่า “Spirit of Ecstasy ผู้เลือกการเดินทางบนท้องถนนเป็นความสุขที่สุดของเธอ และบินถลาลงจอดบนส่วนหน้าของยนตรกรรมโรลส์-รอยซ์เพื่อดื่มด่ำกับความสดชื่นของอากาศบริสุทธิ์ และเสียงดนตรีของผ้าคลุมร่างที่พลิ้วไหวของเธอ”
Rolls-Royce ได้จดสิทธิบัตรทรัพย์สินทางปัญญา Spirit of Ecstasy ในปีค.ศ. 1911 อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าเธอไม่ได้รับการชื่นชมจากผู้ก่อตั้งทั้งสอง Sir Henry Royce ไม่ชอบมาสคอตใด ๆ และ The Hon. Charles Stewart Rolls ไม่เคยได้เห็นเธอด้วยซ้ำเนื่องจากเธอถูกสร้างขึ้นภายหลังการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางเครื่องบินของเขาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1910 ดังนั้น เกือบทั้งหมดนี้เกิดจากวิสัยทัศน์ ความเฉียบแหลม และพลังอันแท้จริงของ Claude Johnson ที่ทำให้เธอมีตัวตน
สัญชาตญาณของเขาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง เมื่อในปีค.ศ. 1920 โรลส์-รอยซ์นำ Spirit of Ecstasy เข้าร่วมในการแข่งขันที่ปารีสเพื่อค้นหามาสคอตรถยนต์ที่ดีที่สุดในโลก แน่นอนว่าเธอชนะ และ Sykes ได้รับรางวัลเหรียญทอง
ไม่มีใครชื่นชมนักที่ว่า Spirit of Ecstasy เป็นเพียง ‘อุปกรณ์เสริม’ จนถึงปีค.ศ. 1939 บางทีนี่อาจเป็นการแสดงออกถึงความไม่พอใจที่ไม่ชัดเจนนักของ Sir Henry เพราะมาสคอตถูกใช้ประดับประมาณเพียง 40% ของรถยนต์ 20,000 คันที่ส่งมอบในช่วงเวลานั้น แม้ว่าในเวลาต่อมาจะมีรถยนต์จำนวนอีกหลายคันที่มาขอติดตั้งมาสคอตนี้
เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
Spirit of Ecstasy เป็นตัวกำหนดคุณลักษณะของแบรนด์ Rolls-Royce มาตั้งแต่ปีค.ศ. 1911 แต่ในขณะที่แบรนด์และยนตรกรรมของแบรนด์มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เธอเองก็ได้ผ่านช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน
ในรูปแบบดั้งเดิมของเธอในปีค.ศ. 1911 เธอคือรูปปั้นขนาดความสูงที่ 6 7/8 นิ้ว (ประมาณ 18 ซม.) ขณะยืนด้วยเท้าเปล่า ในช่วงยุค 60 เธอผ่านการผลิตซ้ำไปมาถึงแปดครั้งและมีความสูงเพียง 4 5/16 นิ้ว (ประมาณ 11 ซม.) ระยะห่างจากจมูกถึงปลายเสื้อคลุมที่ยื่นออกมาของเธอก็หดลงตามสัดส่วนเช่นกันจากห้านิ้วเหลือสามนิ้ว รูปร่างฐาน ท่าทาง และองศาความเอียงที่แม่นยำของ ‘ปีก’ ของเธอยังมีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา
ที่ยิ่งไปกว่านั้น ลูกค้าที่ซื้อยนตรกรรมรุ่นตั้งแต่ปีค.ศ. 1934 ถึงปีค.ศ. 1959 มีตัวเลือกของรูปปั้นที่กำลังคุกเข่า ซึ่งบางคนคิดว่าเหมาะกับดีไซน์ของตัวถังรถยนต์ในยุคนั้นมากกว่า
ช่วงยุค 70 เพื่อความปลอดภัยบนท้องถนนบางประเทศพยายามสั่งห้ามใช้มาสคอตประดับบนตัวรถ เช่น สวิตเซอร์แลนด์ ลูกค้าไม่ได้รับอนุญาตให้ประดับสัญลักษณ์นี้บนรถ ทำให้ตอนที่รับมอบรถลูกค้าจะพบว่าเธอถูกวางอยู่ในช่องเก็บของด้านหน้า โรลส์-รอยซ์หาทางแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างชาญฉลาด โดยการติดตั้งมาสคอตบนฐานที่มีสปริงทำให้เธอสามารถหดตัวหลบลงไปด้านใน เพื่อป้องอันตรายหากโดนกระแทกอย่างรุนแรง กลไกการหดตัวนี้ถูกพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งการเคลื่อนไหวของเธอเป็นไปอย่างราบรื่นและสง่างาม
กลไลนี้ถูกเรียกขานกันว่า ‘the rise’ เป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับยนตรกรรมโรลส์-รอยซ์ทุกคันที่ได้รับการสร้างสรรค์โดยทีมงานหัตถศิลป์ในกู้ดวูด
รังสรรค์ขึ้นใหม่สำหรับยุคสมัยใหม่
หนึ่งในแง่มุมที่น่าทึ่งมากมายเกี่ยวกับเรื่องราวของ Spirit of Ecstasy คือตั้งแต่ปีค.ศ. 1911 รูปปั้นทุกชิ้นได้รับการหล่อขึ้นรูป แกะสลัก และตกแต่งขั้นตอนสุดท้ายด้วยมือของ Charles Sykes เอง บุตรสาวของเขา Josephine รับช่วงต่อจากเขาในปีค.ศ. 1928 และดำเนินงานต่อจนกระทั่งการผลิตต้องหยุดชะงักกลางคันเมื่อสงครามเกิดขึ้นในปีค.ศ. 1939 ดังนั้น Spirit of Ecstasy แต่ละตัวในช่วงเวลานั้นจึงมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย
ปัจจุบัน Spirit of Ecstasy ผลิตโดยช่างผู้เชี่ยวชาญในเมืองเซาธ์แฮมตัน ประเทศอังกฤษ โดยใช้กระบวนการหล่อขี้ผึ้งที่ผสมผสานวิธีการและวัสดุที่มีอายุกว่า 5,000 ปีเข้ากับเทคโนโลยีแห่งศตวรรษที่ 21
รูปปั้นแต่ละตัวอ้างอิงจากภาพสามมิติที่สร้างขึ้นโดยคอมพิวเตอร์ ซึ่งดึงรายละเอียดจาก Spirit of Ecstasy ดั้งเดิมและกำหนดลงในรูปแบบดิจิทัล ด้วยการใช้ภาพนี้ช่างฝีมือผู้ชำนาญจึงสร้างเครื่องมือหล่อแข็ง ซึ่งทำด้วยมือโดยใช้คัตเตอร์ที่มีความหนาเพียง 0.2 มิลลิเมตรเท่านั้น เพื่อให้แน่ใจว่าแม้แต่รายละเอียดเล็ก ๆ ก็จะถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างแม่นยำ จากเครื่องมือหล่อนี้ พวกเขาได้ผลิตหุ่นขี้ผึ้งที่ได้สัดส่วนถูกต้องแม่นยำที่สุด ก่อนที่จะเคลือบด้วยเซรามิก หลังจากเซรามิกแห้ง ขี้ผึ้งก็จะละลายเหลือไว้แต่ตัวแม่พิมพ์ที่สมบูรณ์สำหรับรอการขึ้นรูปครั้งต่อไป
รูปปั้นแต่ละชิ้นทำจากการเทเหล็กกล้าไร้สนิม (Stainless Steel) เหลวลงในแม่พิมพ์ที่อุณหภูมิ 1,600 องศาเซลเซียส เมื่อเหล็กกล้าเริ่มเย็นตัวลง แม่พิมพ์จะถูกเปิดออกเพื่ออวดโฉมของ Spirit of Ecstasy ที่งดงาม หลังจากนั้นจะถูกส่งไปยังแผนกตกแต่งขั้นตอนสุดท้ายที่ใช้วิธีการเสริมความแข็งให้กับโลหะ (Peening) รูปปั้นจะถูกขัดพื้นผิวแบบพ่นยิงโดยการใช้เม็ดเหล็กกล้าไร้สนิมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.04 มิลลิเมตรหลายล้านเม็ดขัดพื้นผิวโดยปราศจากรอยขีดข่วน หลังจากผ่านขั้นตอนของการใช้เครื่องจักรแล้ว จะถูกขัดขึ้นเงาเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่จะถูกตรวจสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด รูปปั้นที่สมบูรณ์เท่านั้นที่จะมีสิทธิได้ถูกประดับบนกระจังหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ของยนตรกรรมโรลส์-รอยซ์
ปีค.ศ. 2020 โรลส์-รอยซ์ได้เปิดตัว The Spirit of Ecstasy Expression สำหรับการปรับแต่งรูปลักษณ์ใหม่ทั้งหมดนี้นักออกแบบได้ปรับโฉมเธอให้มาในรูปแบบที่เรียบง่ายและทันสมัย เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์กราฟิกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ ภาพตัวอย่างที่สร้างโดยคอมพิวเตอร์และสามารถแสดงผลทางออนไลน์นี้ได้ถ่ายทอดส่วนโค้งของรูปปั้นเป็นเส้นยาวคู่ขนานในลักษณะเป็นลูกคลื่นและเปลี่ยนแปลงไปตามการตั้งค่า โดยออกแบบมาเพื่อให้ผู้ที่เห็นรู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหวในรูปแบบที่งดงามราวผ่าไหมและมีความลื่นไหลราวกับพาดและไหลผ่านพื้นผิวทางกายภาพและดิจิทัล
วันนี้ Rolls-Royce Motor Cars ประกาศว่าจะมีการใช้ Spirit of Ecstasy ในรูปแบบใหม่สำหรับการตกแต่ง Spectre ยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบคันแรกของแบรนด์ เธอมีความคล่องตัว สง่างามมากกว่าที่เคยเป็นมา เป็นสัญลักษณ์ที่เหมาะสมสำหรับยนตรกรรมที่ออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่ได้ดีสุด เท่าที่โรลส์-รอยซ์ เคยรังสรรค์มา เพื่อสำหรับประดับฝากระโปรงหน้าของยานยนต์พลังงานไฟฟ้าในอนาคตของเรา
ยนตรกรรมต้นแบบ Spectre รุ่นแรกสุดมีค่าแรงเสียดทานอากาศ (cd) เพียง 0.26 ทำให้เป็นยนตรกรรมที่มีแอโรไดนามิกที่ดีที่สุดเท่าที่โรลส์-รอยซ์เคยผลิตมา ตัวเลขนี้คาดว่าจะดีขึ้นในระหว่างการทดสอบยนตรกรรมต้นแบบอย่างละเอียดที่ดำเนินการในปีค.ศ 2022
จุดจบของความสัมพันธ์
วันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1915 Montagu และ Eleanor Thornton กำลังรับประทานอาหารกลางวันในห้องชั้นหนึ่งของเรือโดยสาร P&O ที่ชื่อ SS Persia พวกเขากำลังล่องเรือผ่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมุ่งหน้าสู่อินเดีย ที่ซึ่ง Montagu ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Chief of Mechanical Transport ของกองทัพอังกฤษ Eleanor จะต้องลงจากเรือที่พอร์ตเซดและเดินทางกลับไปอังกฤษในช่วงเวลาดังกล่าว
เรือถูกโจมตีด้วยตอร์ปิโดและจมลงในเวลาไม่ถึงห้านาที และไม่มีใครได้พบ Eleanor Thornton และผู้โดยสารอีกหลายร้อยชีวิตอีกเลย
อย่างไรก็ตาม Montagu นั้นโชคดี หลังจากที่อยู่บนเรือชูชีพลอยกลางทะเลถึง 38 ชั่วโมงและได้รับบาดเจ็บเนื่องจากไหล่หักและปอดเสียหาย เขาและผู้รอดชีวิตอีกจำนวนหยิบมือได้รับการช่วยเหลือจากเรือเดินสมุทรที่แล่นผ่าน ขณะพักฟื้นในมอลตาในฐานะแขกของผู้ว่าการ เขาเพลิดเพลินกับการอ่านข่าวมรณกรรมของเขาเองในหนังสือพิมพ์ลอนดอน
Montagu ไม่เคยลืมการสูญเสีย Eleanor แน่นอนว่าเขาไม่เคยพูดถึงในที่สาธารณะ แต่ตลอดชีวิตที่เหลือของเขา จิตวิญญาณของเธอได้อยู่กับเขาไม่ว่าเขาจะเดินทางด้วยยนตรกรรมโรลส์-รอยซ์ไปที่ใดก็ตาม