Mitsubishi XForce HEV 2025 รถอเนกประสงค์ SUV ขนาดกะทัดรัด 5 ที่นั่ง มาพร้อมเทคโนโลยี Hybrid Electric Vehicle (HEV) พัฒนาขึ้นเพื่อลดการปล่อย CO2 ช่วยประหยัดเชื้อเพลิง ออกแบบทันสมัย ดึงดูดสายตา ทั้งรูปลักษณ์ และโครงสร้างที่แข็งแรง ทำให้ตอบโจทย์ความต้องการผู้ขับขี่ในยุคที่ต้องการความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการประหยัดค่าใช้จ่ายในการขับขี่ มอบสมรรถนะการขับขี่ที่มั่นใจดีในทุกเส้นทาง รวมถึงเทคโนโลยีความปลอดภัย และระบบความบันเทิงทันสมัยมากมาย
แนวคิดการออกแบบใหม่ เรียบหรู แต่ทรงพลัง
ดีไซน์การออกแบบรูปลักษณ์ภายนอก โดยทิศทางใหม่ในการออกแบบยานยนต์ของมิตซูบิชิ “ซิลก์กี แอนด์ โซลิด (Silky & Solid)” ถูกนำมาปรับใช้กับ ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี ผสานสไตล์ที่โดดเด่นเข้ากับความทรงพลัง สะท้อนผ่านรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวและดึงดูดทุกสายตาทั้งในเมืองและนอกเมืองตามแบบฉบับรถเอสยูวีที่แท้จริง

พื้นผิวที่ดูเรียบ และเงางามของด้านบนตัวรถ สอดรับกับสัญลักษณ์ทรีไดมอนด์ที่ด้านหน้า พร้อมเส้นสายที่ดู ไดนามิคจากด้านข้างไปถึงด้านท้ายรถ หลังคาแบบลอยตัว (Floating Roof) ให้ความรู้สึกโปร่ง และพริ้วไหว
เอกลักษณ์จาก “ไดนามิคชิลด์” ที่มาในเวอร์ชันแบบ 3 มิติ และสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับคอนเซ็ปต์การออกแบบของรถรุ่นนี้ กระจังหน้าถูกออกแบบให้ปกป้องและกลมกลืนไปกับกันชนหน้าซ้ายและขวา ทำให้เกิดมิติของความลึก เสริมสร้างความสปอร์ตให้ด้านหน้าของตัวรถ ดีไซน์ด้านข้างแบบ 3 มิติ พร้อมเส้นสายที่แสดงถึงความโฉบเฉี่ยวและแข็งแกร่ง ไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED และไฟท้าย LED สี Smoke สร้างความเป็นไอคอนนิค ด้วยการจัดเรียงเป็นรูปตัวที เสริมให้เห็นถึงความกว้างและความรู้สึกมั่นคงของตัวรถ

ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 18 นิ้ว ดีไซน์สวย ที่คำนึงถึงแอโรไดนามิค ระยะต่ำสุดถึงพื้น หรือ Ground Clearance ที่มีความสูงถึง 183 มิลลิเมตร เสริมด้วยซุ้มล้อที่เลือกใช้วัสดุ และสีที่ตัดกับสีรถ ทำให้ ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี มีบุคลิกของรถเอสยูวีอย่างชัดเจน
อีกสิ่งหนึ่งที่จะมาช่วยทำให้ ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี มีความน่าตื่นเต้นและสร้างความน่าสนใจ คือสีรถที่มีให้เลือกทั้งแบบทูโทน และโมโนโทน จำนวนถึง 8 สี

ดีไซน์การออกแบบภายใน
ห้องโดยสารที่ประณีตทุกรายละเอียด ตอบโจทย์การใช้งาน ด้วยการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “Horizontal Axis” ทำรถคันนี้มีทัศนวิสัยที่ยอดเยี่ยมในทุกสภาพเส้นทาง
ภายในห้องโดยสารสีทูโทน Mélange – Mocha พร้อมการตกแต่งด้วยผ้าแบบพิเศษกันน้ำ และคราบสิ่งสกปรก มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่จะช่วยสร้างสุนทรียภาพให้คุณตลอดการเดินทาง
ห้องโดยสารขนาดใหญ่ที่สุดในรถระดับเดียวกัน พื้นที่เหนือศีรษะ พื้นที่หัวไหล่ และพื้นที่วางขาที่กว้าง ทำให้สามารถเดินทางได้พร้อมกันถึง 5 คน โดยไม่รู้สึกอึดอัด เบาะนั่งตอนหลังสามารถพับปรับแบบ 40:20:40 และปรับเอนได้ถึง 8 ระดับ พร้อมด้วยวัสดุหุ้มเบาะ “Heat Guard” ที่ช่วยสะท้อนความร้อนจากแสงแดด

ยกระดับความสะดวกสบายในทุกประสาทสัมผัส
ไดนามิค ซาวด์ ยามาฮ่า พรีเมียม ซาวด์ ซิสเต็ม (Dynamic Sound Yamaha Premium Sound System) คือระบบเสียงคุณภาพสูงที่ถูกติดตั้งไว้ใน ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี ระบบเสียงนี้กระจายเสียงผ่านลำโพงทั้งหมด 8 ตัว ทวิตเตอร์คู่หน้าที่ถูกติดตั้งบริเวณเสาหลังคา (A-Pillar) ลำโพงวูฟเฟอร์ที่ติดตั้งบริเวณแผงประตูคู่หน้า และลำโพงโคแอกเซียล (Coaxial) แบบ 2 ทาง ที่ประตูคู่หลัง ทำให้คุณภาพเสียงที่ได้รับ คมชัดอย่างมีมิติ เฉกเช่นการฟังเครื่องดนตรีแบบแยกชิ้น อีกทั้งยังสามารถเลือกรูปแบบเสียงได้ถึง 4 รูปแบบ ตามรสนิยมและอารมณ์ในการฟังเพลง เพื่อเพิ่มสุนทรียภาพและประสบการณ์ขับขี่ที่เพลิดเพลินยิ่งขึ้น
หน้าจอระบบสัมผัสขนาดใหญ่ถึง 12.3 นิ้ว พร้อม Smartphone-link Display Audio (SDA) พร้อมหน้าจอแสดงผลการขับขี่แบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว จอแสดงผลถูกออกแบบให้เป็นแบบมัลติวิดเจ็ต (Multi-widget) จอแบ่งออกเป็น 3 ส่วนเพื่อแสดงข้อมูลต่าง ๆ พร้อมกันบนหน้าจอเดียว อีกทั้งยังสามารถแสดงผลชุดมาตรวัดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากมาตรวัดสามช่องในรถระดับตำนานอย่าง มิตซูบิชิ ปาเจโร โดยแสดงข้อมูลสำคัญ เช่น ระดับความสูง มุมเอียง และทิศทาง เพื่อเพิ่มความสนุกในการขับขี่ นอกจากนี้ ยังรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และ WebLink เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ทำให้ผู้ใช้สามารถเพลิดเพลินกับแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้บนหน้าจอขนาดใหญ่

ระบบฟอกอากาศ nanoe™ X ช่วยสร้างอากาศบริสุทธิ์ และยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ลดอากาศเหนื่อยล้า สร้างความสดชื่นให้คุณตลอดการเดินทาง
– ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร (Ambient Light) บริเวณคอนโซลหน้าและแผงประตูด้านหน้า

ดูแลความปลอดภัยเพื่อปกป้องคุณ และคนที่คุณรัก
– เทคโนโลยีความปลอดภัยไดมอนด์ เซ้นส์ (Diamond Sense)
– เทคโนโลยีความปลอดภัยที่ครอบคลุมแบบ 360 องศา โดยใช้การตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบตัวรถด้วยกล้อง เซนเซอร์ และเรดาห์ที่แม่นยำ ซึ่งจะทำงานและมีสัญญาณเตือนให้ผู้ขับขี่ทราบเมื่อเกิดสภาวะฉุกเฉินหรือต้องระมัดระวัง ได้แก่
– MAM with Moving Object Detection: กล้องมองภาพรอบคันพร้อมเส้นกะระยะ ทำงานผ่านกล้อง 4 ตำแหน่งแสดงภาพสภาพแวดล้อมรอบตัวรถ พร้อมระบบตรวจจับการเคลื่อนไหว

– LCDN: ระบบเตือนเมื่อรถด้านหน้าออกตัวหรือเคลื่อนที่ไปด้านหน้า ระบบจะทำการแจ้งเตือนบนหน้าจอแสดงผลแบบ LCD กรณีรถหยุดนิ่ง และมีการเคลื่อนตัวของรถคันหน้า
– BSW with LCA: ระบบเตือนจุดอับสายตา และระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน
– FCM: ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว ป้องกันความเสี่ยงที่จะชนรถคันหน้า และสบายใจกว่าด้วยการลดความเร็วเพื่อบรรเทาความเสียหายจากการชน
– ACC: ระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติถึงจุดหยุดนิ่ง ระบบจะสามารถล็อคความเร็วตามที่กำหนด และรักษาความเร็วให้คงที่ตามรถคันหน้า ตลอดจนช่วยเบรกจนถึงความเร็ว 0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพิ่มความสะดวกสบาย และปลอดภัยยิ่งขึ้นเมื่อต้องขับขี่ทางไกล

– AHB: ระบบควบคุมไฟสูงโดยอัตโนมัติ สะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น
– RCTA: ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด ระบบจะส่งสัญญาณเตือน เมื่อพบว่ามีวัตถุเคลื่อนไหวด้านหลังรถ ขณะกำลังถอยรถออกจากช่องจอด
นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยแบบ Passive safety ด้วยการติดตั้งถุงลม 6 ตำแหน่ง มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นของทุกคนในห้องโดยสารอีกด้วย


MITSUBISHI e:MOTION
หัวใจสำคัญของ ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี คือ MITSUBISHI e:MOTION ประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับ ซึ่งเป็นการผสาน 3 เทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดของมิตซูบิชิ ได้แก่ ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดเจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ และระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (AYC) ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดเจนเนอเรชันใหม่ ได้รับการถ่ายทอดและพัฒนามาจากความสำเร็จของระบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) อันโด่งดังของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส และเป็นการพัฒนาต่อยอดจากรถยนต์ฟูลไฮบริดรุ่นแรกอย่างเอ็กซ์แพนเดอร์ ทำให้มีประสิทธิภาพการส่งกำลังที่ดียิ่งขึ้น ช่วยให้การขับขี่เต็มเปี่ยมด้วยพลังและนุ่มนวลมากขึ้นในทุกเส้นทาง อีกทั้งยังเพิ่มกลไกตัดการเชื่อมต่อของมอเตอร์ ช่วยลดการสูญเสียพลังงานลงได้มาก ประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้รถมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 24.4 กิโลเมตร/ลิตร* และทำให้ได้ระยะทางในการขับขี่ต่อน้ำมัน 1 ถัง สูงที่สุดในรถยนต์ระดับเดียวกัน
เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้รับประสบการณ์การขับขี่แบบรถไฟฟ้า รถยนต์รุ่นนี้มาพร้อมระบบส่งกำลัง 2-Speed Transaxle โดยการขับเคลื่อนในแบบไฮบริด จะให้ความเงียบและมีอัตราเร่งที่ยอดเยี่ยมทั้งในการขับขี่บนไฮเวย์ และในเส้นทางที่เป็นเนินลาดชัน นอกจากนี้ มอเตอร์ไฟฟ้า เจเนอเรเตอร์ และระบบส่งกำลัง ยังได้รับการออกแบบให้ทำงานผสานกันเป็นหนึ่งเดียว ทำให้มีการทำงานที่เงียบลดเสียงรบกวนอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ประสบการณ์การขับขี่เหมือนรถไฟฟ้า

ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดรุ่นใหม่ล่าสุดมีทั้งการขับขี่แบบ EV DRIVE การขับขี่แบบ HYBRID-SERIES การขับขี่แบบ HYBRID-PARALLEL การขับขี่แบบ HYBRID–MOTOR DISCONNECTED และการขับขี่แบบ POWER REGENERATIVE โดยระบบจะปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่โดยอัตโนมัติตามสภาพการขับขี่และปริมาณพลังงานที่เหลืออยู่ในแบตเตอรี่ เพื่อให้ได้ทั้งประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงสูงและการขับขี่ที่ทรงพลัง เร้าใจด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า
ขณะออกตัว ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ 100% เงียบและใช้พลังงานสะอาด ปราศจากการใช้เชื้อเพลิงและการปล่อยก๊าซ CO2

ขณะเร่งความเร็วหรือขับด้วยความเร็วปานกลาง ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยเครื่องยนต์จะทำงานเพื่อสร้างกระแสไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและกำลังในการขับเคลื่อน ซึ่งจะตัดสลับกับ EV DRIVE เมื่อพลังงานในแบตเตอรี่เพียงพอ
ขณะขึ้นทางชัน หรือขึ้นเขา เมื่อต้องการพละกำลังในการขึ้นทางชันหรือขึ้นเขา ระบบจะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ในอัตราทด LOW (เช่นเดียวกับเกียร์ต่ำ) เพื่อเพิ่มพละกำลัง และประสิทธิภาพการจัดการพลังงานในแบตเตอรี่ให้ดียิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันเครื่องยนต์ยังคงสร้างกระแสไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง และจะตัดสลับกับ HYBRID-SERIES ตามความเหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนและประหยัดน้ำมัน

ขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงหรือคงที่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ในอัตราทด HIGH (เช่นเดียวกับเกียร์สูง) และเมื่อขับที่ความเร็วคงที่จะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เป็นหลัก และตัดภาระการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าออก เพื่อลดภาระในการทำงานของเครื่องยนต์ อีกทั้งเจเนอเรเตอร์ยังช่วยในการขับเคลื่อน ทำให้ประหยัดน้ำมันได้ดียิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันเครื่องยนต์ยังคงสร้างกระแสไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง และจะตัดสลับกับ HYBRID-SERIES หรือ EV DRIVE ตามความเหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนและประหยัดพลังงาน
ขณะลดความเร็วหรือลงทางชัน ระบบจะเปลี่ยนพลังงานจากการชะลอความเร็วหรือเบรก เป็นพลังงานไฟฟ้าและนำกระแสไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่
ระบบ HEV นี้ช่วยให้สามารถขับขี่ได้อย่างเงียบ สะอาดแบบรถ EV และยังรองรับการเดินทางระยะไกลโดยไม่ต้องกังวลเรื่องพลังงานแบตเตอรี่หมด

ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ซ เอชอีวี มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงและแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษสำหรับรถยนต์ไฮบริด โดยใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร MIVEC DOHC 16 วาล์ว ซึ่งถูกใช้งานครั้งแรกในเอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี โดยให้ประสิทธิภาพเชิงความร้อน (Thermal efficiency) ในระดับแนวหน้าของคลาส พร้อมทั้งกำลังขับเคลื่อนที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งปั๊มน้ำไฟฟ้าเพื่อลดการสูญเสียพลังงานจากระบบขับเคลื่อนเสริม (Auxiliary Drive Loss) ส่งผลให้ประสิทธิภาพเชิงความร้อนของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นมากกว่า 40% ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงได้ดียิ่งขึ้น และส่งเสริมประสิทธิภาพโดยรวมของระบบขับเคลื่อน เมื่อทำงานร่วมกับเจเนอเรเตอร์และมอเตอร์ที่มีกำลังสูงสุด 85 กิโลวัตต์ ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี จึงสามารถอัตราเร่งที่ราบรื่น ทรงพลัง และตอบสนองฉับไว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า

โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ
อีกหนึ่งเทคโนโลยีสำคัญที่ทำให้ Mitsubishi e:MOTION มอบประสบการณ์การขับขี่ที่โดดเด่น คือโหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความมั่นใจในทุกสภาพอากาศและสภาพถนน
โดยแบ่งเป็นโหมดการขับขี่แบบรถไฟฟ้า 2 รูปแบบ และโหมดการขับขี่อีก 5 รูปแบบสภาพถนน ผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้อย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัส ผ่านสวิตซ์ที่คอนโซลกลาง โดยระบบควบคุมเบรก เครื่องยนต์ มอเตอร์ และพวงมาลัย จะทำงานร่วมกันเพื่อให้การขับขี่ปลอดภัยบนสภาพถนนที่หลากหลายซึ่งเหมาะกับสภาพถนนในประเทศไทย

โหมด EV Priority และโหมด Charge ช่วยให้ผู้ขับขี่เลือกขับขี่ในโหมด EV ตามสถานการณ์ได้
EV Priority Mode ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เพื่อขับเคลื่อนมอเตอร์โดยไม่ต้องสตาร์ตเครื่องยนต์ โหมดนี้มีความเงียบสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องกังวลเรื่องเสียงรบกวนเมื่อต้องขับขี่ในบริเวณที่ต้องการความเงียบ
Charge Mode ใช้เครื่องยนต์ชาร์จแบตเตอรี่เมื่อพลังงานเหลือน้อยในขณะขับ หรือจอดรอได้ เพื่อให้สามารถใช้โหมด EV ได้นานขึ้นตามต้องการ

5 โหมดการขับขี่อื่นๆ ถูกออกแบบมาเพื่อควบคุมรถตามสภาพถนน ด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหน้าพร้อมเทคโนโลยีควบคุมต่างๆ ได้แก่
Active Yaw Control (AYC): ระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง ควบคุมแรงขับ และแรงเบรกของล้อหน้าแต่ละข้างเพื่อเพิ่มการทรงตัวและการควบคุมให้ปลอดภัยและมั่นใจยิ่งขึ้น
Traction Control System (TCL): ระบบป้องกันการลื่นไถล ป้องกันล้อหมุนฟรี
Active Stability Control (ASC): ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว
Electric Power Steering: พวงมาลัยไฟฟ้า ปรับน้ำหนักตามความเร็วและสภาพถนน

ทั้ง 5 โหมดการขับขี่ ช่วยให้สามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยในทุกสภาพอากาศและถนน
Normal Mode: เหมาะกับการขับขี่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน
Tarmac Mode: สำหรับถนนลาดยาง เพิ่มความว่องไวและการควบคุมที่แม่นยำบนถนนคดเคี้ยว ให้พละกำลังเช่นเดียวกับ Sport Mode
Gravel Mode: สำหรับถนนลูกรัง ลดอาการลื่นไถลและเพิ่มความมั่นคงบนถนนลูกรัง
Mud Mode: สำหรับถนนโคลน ให้การยึดเกาะที่ดีขึ้นแม้ในสภาพถนนที่เป็นโคลนและขรุขระ
Wet Mode: สำหรับถนนเปียกลื่นลดการลื่นของยางและเพิ่มเสถียรภาพแม้ในสภาพฝนตกหนัก
จอแสดงผลการขับขี่ LCD ขนาด 8 นิ้ว จะแสดงข้อมูลเฉพาะสำหรับระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดอย่างชัดเจน เช่น ระดับพลังงาน แสดงสถานะ Eco, Power และ Charge สอดคล้องกับการควบคุมคันเร่ง การไหลเวียนของพลังงาน อัตราส่วนการขับขี่ด้วยไฟฟ้า และระดับพลังงานที่เหลือในแบตเตอรี่ และสามารถปรับเปลี่ยนหน้าจอได้ 2 รูปแบบ

First Impression : ขับจริงใช้จริงดรจริงมั้ยให้กี่คะแนนดี
รูปลักษณ์ – สวยเตะตาดีไซน์สปอร์ต
ภายใน – ออกแบบดี ใช้วัสดุคุณภาพ
ฟีเจอร์ – ตอบโจทย์ อำนวยความสะดวก จัดวางปุ่มและโหมดควบคุมที่ใช้งานได้ง่าย
ระบบความปลอดภัย – ครบครันรอบคัน (รุ่นท็อป) และความทันสมัย
ขุมพลังเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง – ขุมพลังตอบสนองทันใจ ให้อัตราเร่งดี เร่งแซง เรียกกำลังมาใช้งานได้ดี ซึ่งเป็นการผสนาการทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซินเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า
โหมดขับขี่ – ช่วยให้การขับขี่บนเส้นทางต่างๆ ง่ายและสพดวกสบายขึ้น ไม้ว่าจะเป็นเส้นทางในเมือง ระหว่างจังหวัด และเส้นทางออฟโรด
ความสะดวกสบายขณะนั่งโดยสาร – เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า (รุ่นท็อป) เบาะด้านข่างคนขับ จัดวางออกแบบดี นั่งสบาย ขณะที่เบาะนั่งแถวสอง มีพื้นที่เหนือศรีษะ พื้นที่วางเท้า กว้างสะดวกสบาย รองรับการนั่งได้ 3 คน
ระบบช่างล่าง – ออกไปทางหนึบแน่น แต่กระด้างเล็กน้อย ซึ่งอาจจะเซ็ทมาเผื่อขับในเส้นทางกึ่งลุย หรืออาจเป็นการเต็มลมยางที่มากไป แต่โดยรวมถือว่างหนึบเกาะถนน
สมรรถนะการขับขี่ – ภาพรวมจากที่ขับขี่ถือเป็น B-SUV ขับสนุก นั่งสบาย ช่วงล่างแน่น มั่นใจในการขับทางใกล้ทางไกลเป็นรถที่ครบเครื่องจะเอาขับใช้งานในเมืองให้ความคล่องตัวดี ขับเที่ยวทางลุยๆ ไม่มีปัญหา เรียกว่าตอบโจทย์ครบคุมแทบทุกมิติ
อัตราประหยัดน้ำมัน – เหลือเชื่อไม่คิดว่าจะประหยัดน้ำมันเกินเบอร์ (มิตซูบิชิแคลมอัตราประหยัดตามอีโคสติ๊กเกอร์ 24.4 กิโลเมตรต่อลิตร) จากที่ขับจริงจังภายใต้การใช้งานปกติ ความเร็วเฉลี่ย 85-90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เส้นทางระหว่างจังหวัด แต่มีการก่อสร้างปรุงปรุงถนน บางช่วงการจราจรติดขัดนานเกิน 5-7 นาที ให้อัตราสิ้นเปลืองที่ 34.2 กิโลเมตรต่อลิตร ระยะทาง 109 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1.45 ชั่วโมง
ความพึงพอใจและความน่าใช้ (ดาว) ****
อนาคตกับการซื้อมาขับใช้งาน (ดาว) *** ครึ่ง บริการหลังการขายถือว่าใช้ได้ (แต่ผ่าน 5 ปีคิดจะขายต่อ ราคาสู้แบรนด์ใหญ่เจ้าตลาดไม่ได้)
มิติตัวรถ
ความยาวตลอดคัน 4,390 มม.
ความกว้างตลอดคัน 1,810 มม.
ความสูง 1,650 มม.
ระยะฐานล้อ 2,650 มม.
ความกว้างช่วงล้อหน้า 1,565 มม.
ความกว้างช่วงล้อหลัง 1,565 มม.
ระยะต่ำสุดถึงพื้น 183 มม.
รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.2 เมตร
เครื่องยนต์รหัส4A92 4 สูบ MIVEC DOHC 16 วาล์ว
ปริมาตรกระบอกสูบ 1,590 ซีซี.
ความกว้างกระบอกสูบ x ช่วงชัก 75.0 x 90.0 มม.
อัตราส่วนกำลังอัด 14 : 1
กำลังสูงสุด กิโลวัตต์ (แรงม้า) / รอบต่อนาที 79 (107) / 6,000
แรงบิดสูงสุด นิวตันเมตร / รอบต่อนาที 134 / 4,500
ระบบเชื้อเพลิง หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ ECI-MULTI 32 Bit
ชนิดน้ำมันที่แนะนำแก็สโซฮอล์ E20
ความจุถังน้ำมัน42 ลิตร
มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด กิโลวัตต์ (แรงม้า) 85 (116)
แรงบิดสูงสุด 255 นิวตันเมตร
แบตเตอรี่ไฮบริด Lithium-ion
ระบบส่งกำลัง 2-Speed Transaxle
อัตราทดระบบส่งกำลัง High 3.384, Low 4.588
อัตราทดเครื่องยนต์ 2.107
อัตราทดมอเตอร์ไฟฟ้า 9.215
ระบบบังคับเลี้ยว แร็คแอนด์พิเนียน พร้อมระบบเพาเวอร์ควบคุมด้วยไฟฟ้า
ระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง และ เหล็กค้ำหัวโช้ค / หลัง ทอร์ชันบีม
ระบบเบรกหน้า ดิสก์เบรก แบบมีช่องระบายความร้อน / หลัง ดิสก์เบรก
ล้ออัลลอยขนาด 18″ x 7.0J แบบทูโทน ขนาดยาง 225/50 R18
ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี มีจำหน่าย 3 รุ่นย่อย ได้แก่
* รุ่น Ignite ราคาเริ่มต้น 899,000 บาท มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีขาวมุก (White Diamond) สีเงิน (Blade Silver) และสีเทา (Graphite Grey)
* รุ่น Ultimate ราคาเริ่มต้น 1,039,000 บาท มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีขาวมุก (White Diamond) หลังคาดำ สีเงิน (Blade Silver) สีเทา (Graphite Gray) และสีดำ (Jet Black Mica)
* รุ่น Ultimate X ราคาเริ่มต้น 1,089,000 บาท มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีขาวมุก (White Diamond) หลังคาดำ สีเทา (Graphite Gray) หลังคาดำ สีเหลือง (Energetic Yellow) หลังคาดำ สีแดง (Spirit Red) หลังคาดำ และสีดำ (Jet Black Mica)
ข้อเสนอพิเศษสำหรับ ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี ได้แก่
– การรับประกันระบบไฮบริดเป็นระยะเวลา 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
– รับประกันแบตเตอรี่ไฮบริดนานสูงสุดถึง 10 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
– รับฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง เป็นเวลา 1 ปี
– การรับประกันคุณภาพรถยนต์ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน)
– ฟรีค่าแรงเช็กระยะนาน 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน)
– เลือกรับ แพ็กเกจบำรุงรักษา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง 5 ปี
– ลูกค้าครอบครัวมิตซูบิชิ รับส่วนลดเพิ่มสูงสุดถึง 30,000 บาท ผ่านแอฟพลิเคชัน M-Drive