21.2 C
Bangkok
Sunday, December 22, 2024
musubishi900x192px_2024
Honda_900x192px 2024
163732
AD Banner_900x180
FORD900x192px_1
Mitsubishi_900x192px_2
previous arrow
next arrow

โตโยต้า เผยยอดขายตลาดรถยนต์ครึ่งแรกปี’64 คาดจบปีขายได้ 800,000 คัน

โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย เปิดเผยตัวเลขยอดขายตลาดรวมรถยนต์เมืองไทยในช่วงครึ่งปีแรก ทำสถิติยอดขายอยู่ที่ 373,191 คัน เพิ่มขึ้น 13.6% จากยอดขายในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ท่ามกลางวิกฤตการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ฉุดรั้งให้กิจกรรมเศราฐกิจภายในประเทศและทั่วโลกหยุดชะงัก คาดการณ์จบปี 2564  800,000 คัน เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา หากการควบคุมการแพร่ระบาดเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน

มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แถลงสถิติการจำหน่ายรถยนต์ครึ่งแรกของปี 2564 พร้อมคาดการณ์ตลาดรถยนต์ไทยปี 2564 ว่า “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพร่ระบาดในระลอกล่าสุดที่มีความรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ ได้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม และส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อรถยนต์ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุ่งหวังว่าสถานการณ์ต่างๆจะฟื้นตัวดีขึ้น จากความพยายามของภาครัฐในการแก้ไขปัญหา ควบคู่ไปกับแผนการฉีดวัคซีนสำหรับคนไทย จะก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม”

มร.ยามาชิตะ กล่าวต่อไปว่า “แม้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยจะยังคงได้รับผลกระทบอย่างมากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 แต่บรรดาบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ทั้งหลาย ก็ได้มีความพยายามในการดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆในเชิงรุก เห็นได้จากการเพิ่มขึ้นของยอดขายรถยนต์จากงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 42 ที่ผ่านมา ตลอดจนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ปัจจัยต่างๆเหล่านี้มีส่วนช่วยคลายความวิตกกังวลของผู้บริโภคและกระตุ้นให้เกิดใช้จับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ส่งผลให้ตัวเลขยอดขายตลาดรวมในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 373,191 คัน เพิ่มขึ้น 13.6% จากยอดขายในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว”

“สำหรับผลการดำเนินงานของโตโยต้าในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 มียอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้น 24.4% หรือ คิดเป็นจำนวน 117,185 คัน ซึ่งถือได้ว่าดีกว่าอัตราการฟื้นตัวของตลาด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทฯ จะเผชิญกับความยากลำบากมากมายในปีที่ผ่านมา แต่ยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 หรือเท่ากับ 31.4% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด ซึ่งเพิ่มขึ้นจากตัวเลข 28.7% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว สืบเนื่องจากกลยุทธ์การขายแบบใหม่ของเรา ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมถึงการเสริมความเข้มแข็งในส่วนกลยุทธ์การขายบนช่องทางออนไลน์และการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ ตลอดจนความพยายามในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆของเราในช่วงแรกของปีนี้”

สำหรับแนวโน้มตลาดรถยนต์ของปี 2564 มร.ยามาชิตะ คาดการณ์ว่า “มีหลากหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อทิศทางของตลาดรถยนต์ในปีนี้ อาทิ สถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกล่าสุด การเข้าถึงวัคซีนของประชาชน รวมถึงแนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ตลอดจนการสนับสนุน จากองค์กรเอกชนทุกภาคส่วนที่ผนึกกำลังในการร่วมคลี่คลายสถานการณ์ เรามีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังนี้ จะสามารถฟื้นตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น ดังนั้นเราจึงคาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ในปี 2564 จะอยู่ที่ 800,000 คัน เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา”

มร.ยามาชิตะ กล่าวเพิ่มเติมว่า “โตโยต้า เรามีเป้าหมายการขายในปี 2564 อยู่ที่ 260,000 คัน หรือคิดเป็นยอดขายที่เพิ่มขึ้น 6.4 % จากปีที่ผ่านมา คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดที่ 32.5% แม้ว่าเราจะเผชิญปัญหาจากสถานการณ์โควิด-19 แต่เรายังคงเชื่อมั่นว่า จากความพยายามของเรา ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มยอดขายบนช่องทางออนไลน์ แพ็คเกจการให้บริการที่ทำให้ลูกค้าสามารถ “เป็นเจ้าของรถยนต์ได้ง่ายขึ้น” และมาตรการเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ลูกค้าในเรื่องการดูแลสุขอนามัย ทั้งในโชว์รูมและศูนย์บริการ รวมทั้งการให้บริการทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคภายในรถยนต์ ตลอดจนความเข้มแข็งของเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าทั่วประเทศ จะมีส่วนช่วยให้เราได้รับความเชื่อมั่นและการสนับสนุนจากลูกค้าเพื่อบรรลุสู่เป้าหมายของเราได้เป็นผลสำเร็จ”

สำหรับปริมาณการส่งออกของโตโยต้าในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 บริษัทฯได้ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปจำนวน 141,909 คัน เพิ่มขึ้น 46% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมียอดการผลิตสำหรับการขายภายในประเทศและการส่งออกมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 258,365 คัน เพิ่มขึ้น 50% จากปีที่แล้ว

สำหรับเป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปของโตโยต้าในปีนี้ คาดการณ์ว่าปริมาณการส่งออกจะอยู่ที่ 322,000 คัน เพิ่มขึ้น 50% จากปีที่แล้ว จากสัญญาณการฟื้นตัวในตลาดต่างประเทศ ด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราการลดลงของผู้ป่วยโควิด-19 ความคืบหน้าของแผนการฉีดวัคซีน และแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในประเทศต่างๆ

ในด้านการผลิตนั้น มองว่ามีแนวโน้มดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า จากความต้องการของลูกค้าในตลาดต่างประเทศซึ่งมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น ดังนั้นปริมาณการผลิตรถยนต์ของโตโยต้าในปี 2564 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 580,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 31% จากปีที่แล้ว ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับเป้าหมายการขายของทั้งในประเทศและส่งออก

มร.ยามาชิตะ กล่าวว่า “ภายใต้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย โตโยต้ายังเดินหน้าสนับสนุนและเคียงข้างสังคมไทยให้ก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน ผ่านโครงการ ‘Toyota Stay with You’ โดยเราได้ส่งมอบรถยนต์โตโยต้าให้กับกระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร และสาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อใช้สนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ระหว่างการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ จากการที่บริษัทฯได้ร่วมมือกับผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าทั่วประเทศ เราได้ให้บริการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อในรถยนต์โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ให้ลูกค้ารถยนต์ทุกยี่ห้อไปแล้วกว่า1,300,000 คัน จนถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้ ยังมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ การบริการ และกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความใส่ใจสูงสุดในด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยของพนักงาน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด อีกทั้งเราได้มีการว่าจ้างพนักงานในส่วนของสายงานการผลิตเพิ่มมากกว่า 400 อัตรา เพื่อกระตุ้นการจ้างงานในตลาดแรงงานไทยในปัจจุบัน รวมทั้งยังมีแผนที่จะจ้างงานเพิ่มในอนาคตอีกด้วย ทั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นของเราที่จะมีส่วนช่วยบรรเทาสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ และเรายังคาดหวังว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมไทยและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในอนาคต

มร.ยามาชิตะ กล่าวปิดท้ายว่า “เราขอแสดงความขอบคุณต่อภาครัฐ และลูกค้าทุกท่านตลอดจนผู้มีส่วนร่วมทุกท่าน สำหรับการสนับสนุนที่ท่านได้กรุณามอบให้กับพวกเรามาโดยตลอด แม้ในช่วงเวลาอันยากลำบากเช่นนี้ก็ตาม เรายังคงยืนหยัดเดินหน้าตามแนวทางสากลของโตโยต้าในการยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางของการผลิตและส่งออกรถยนต์ในระดับภูมิภาค ตลอดจนเดินหน้าสร้างความเจริญเติบโตให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อคนไทย”

ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมิถุนายน 2564

1.ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 64,974 คัน เพิ่มขึ้น 11.9%

อันดับที่ 1 โตโยต้า 22,337 คัน เพิ่มขึ้น 67.1% ส่วนแบ่งตลาด 34.4%

อันดับที่ 2 อีซูซุ 14,098 คัน ลดลง 15.4% ส่วนแบ่งตลาด 21.7%

อันดับที่ 3 ฮอนด้า 7,339 คัน เพิ่มขึ้น 26.1% ส่วนแบ่งตลาด 11.3%  

2.ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 22,538 คัน เพิ่มขึ้น 8.3%

อันดับที่ 1 ฮอนด้า 6,422 คัน เพิ่มขึ้น 33.3% ส่วนแบ่งตลาด 28.5%

อันดับที่ 2 โตโยต้า 5,414 คัน ลดลง 12.7% ส่วนแบ่งตลาด 24.0%

อันดับที่ 3 มาสด้า 1,821 คัน เพิ่มขึ้น 30.1% ส่วนแบ่งตลาด  8.1%

3.ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 42,436 คัน เพิ่มขึ้น 13.8%

อันดับที่ 1 โตโยต้า 16,923 คัน เพิ่มขึ้น 97.6% ส่วนแบ่งตลาด 39.9%

อันดับที่ 2 อีซูซุ 14,098 คัน ลดลง 15.4% ส่วนแบ่งตลาด 33.2%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด 2,721 คัน เพิ่มขึ้น 57.6% ส่วนแบ่งตลาด  6.4%

4.ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV)

ปริมาณการขาย 33,169 คัน เพิ่มขึ้น 12.1%                 

อันดับที่ 1 โตโยต้า 14,472 คันเพิ่มขึ้น96.2%ส่วนแบ่งตลาด 43.6%

อันดับที่ 2 อีซูซุ 12,564 คันลดลง 18.2% ส่วนแบ่งตลาด 37.9%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด 2,721 คันเพิ่มขึ้น 57.6% ส่วนแบ่งตลาด  8.2%

ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน: 3,811 คัน

โตโยต้า 1,768 คัน,  อีซูซุ 1,142 คัน,  มิตซูบิชิ 453 คัน,  ฟอร์ด 391 คัน,  นิสสัน 57 คัน

 5.ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 29,358 คัน เพิ่มขึ้น 10.4%

อันดับที่ 1 โตโยต้า 12,704 คัน เพิ่มขึ้น 107.8% ส่วนแบ่งตลาด 43.3%

อันดับที่ 2 อีซูซุ 11,422 คัน ลดลง 23.2% ส่วนแบ่งตลาด 38.9%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด 2,330 คัน เพิ่มขึ้น 64.8% ส่วนแบ่งตลาด  7.9%

สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564

1.ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 373,191 คัน เพิ่มขึ้น 13.6%

อันดับที่ 1 โตโยต้า 117,185 คัน เพิ่มขึ้น 24.4% ส่วนแบ่งตลาด 31.4%

อันดับที่ 2 อีซูซุ 93,165 คัน เพิ่มขึ้น 22.5% ส่วนแบ่งตลาด 25.0%

อันดับที่ 3 ฮอนด้า 42,715 คัน เพิ่มขึ้น 3.4% ส่วนแบ่งตลาด 11.4%

2.ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 120,351 คัน เพิ่มขึ้น 0.5%

อันดับที่ 1 ฮอนด้า 36,586 คัน เพิ่มขึ้น 6.0% ส่วนแบ่งตลาด 30.4%

อันดับที่ 2 โตโยต้า 29,703 คัน ลดลง 0.7% ส่วนแบ่งตลาด 24.7%

อันดับที่ 3 นิสสัน 11,294 คัน ลดลง 10.7% ส่วนแบ่งตลาด  9.4%

3.ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 252,840 คัน เพิ่มขึ้น 21.0%

อันดับที่ 1 อีซูซุ 93,165 คัน เพิ่มขึ้น 22.5% ส่วนแบ่งตลาด 36.8%

อันดับที่ 2 โตโยต้า 87,482 คัน เพิ่มขึ้น 36.1% ส่วนแบ่งตลาด 34.6%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด 16,296 คัน เพิ่มขึ้น 41.5% ส่วนแบ่งตลาด  6.4%

4.ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV)

    ปริมาณการขาย 196,934 คัน เพิ่มขึ้น 18.3%

อันดับที่ 1 อีซูซุ 85,021 คัน เพิ่มขึ้น20.5% ส่วนแบ่งตลาด 43.2%

อันดับที่ 2 โตโยต้า 74,141 คัน เพิ่มขึ้น 31.8% ส่วนแบ่งตลาด 37.6%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด 16,296 คัน เพิ่มขึ้น 41.5% ส่วนแบ่งตลาด  8.3%

                ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน : 27,941 คัน

โตโยต้า 12,308 คัน, อีซูซุ 9,392 คัน, มิตซูบิชิ 3,532 คัน, ฟอร์ด 2,536 คัน, นิสสัน 173 คัน

5.ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 168,993 คัน เพิ่มขึ้น 13.1%

อันดับที่ 1 อีซูซุ 75,629 คัน เพิ่มขึ้น 11.8% ส่วนแบ่งตลาด 44.8%

อันดับที่ 2 โตโยต้า 61,833 คัน เพิ่มขึ้น 24.6% ส่วนแบ่งตลาด 36.6%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด 13,760 คัน เพิ่มขึ้น 46.1% ส่วนแบ่งตลาด  8.1%

Related Articles

Stay Connected

0FansLike
3,912FollowersFollow
22,100SubscribersSubscribe
- Advertisement -spot_img

Latest Articles